Wednesday, February 8, 2012

ประเภทของ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1. เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network หรือ LAN)

เป็นเครือข่ายระยะใกล้ ใช้กันอยู่ในบริเวณไม่กว้างนัก อาจอยู่ในองค์กรเดียวกัน หรืออาคารที่ใกล้กัน เช่น ภาพในสำนักงาน ภายในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ระบบเครือข่ายท้องถิ่นจะช่วยให้ติดต่อกันได้สะดวก ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ

เครือข่ายระบบ LAN

2. เครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area Network หรือ MAN)

เป็นเครือข่ายขนาดกลาง ใช้ภายในเมือง หรือจังหวัดที่ใกล้เคียงกัน เช่น ระบบเคเบิลทีวีที่มีสมาชิกตามบ้านทั่วไปที่เราดูกันอยู่ทุกวันก็จัดเป็นระบบเครือข่ายแบบ MAN

เครือข่ายระบบ MAN

3. เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network หรือ WAN)

เป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ ใช้ติดตั้งบริเวณกว้าง มีสถานนีหรือจุดเชื่อมต่อมากมาย มากกว่า 1 แสนจุด ใช้สื่อกลางหลายชนิด เช่น ระบบคลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ หรือดาวเทียม

เครือข่ายระบบ WAN

http://tc.mengrai.ac.th/paisan/e-learning/internet/page13.htm

มารยาทในการใช้งาน

อินเทอร์เน็ตถือได้ว่าเป็นบริการสาธารณะและมีผู้ใช้จำนวนมาก เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ผู้ที่เข้ามาใช้ควรมีกฏกติกาที่ปฏิบัติร่วมกัน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการใช้งานที่ผิดวิธี ในทีนี้ขอแยกเป็น 2 ประเด็น คือ

1. มารยาทของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในฐานะบุคคลที่เข้าไปใช้บริการต่างๆ ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ

ด้านการติดต่อสื่อสารกับเครือข่าย ประกอบด้วย

  • ในการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายควรใช้ชื่อบัญชี (Internet Account Name) และรหัสผ่าน (Password) ของตนเอง ไม่ควรนำของผู้อื่นมาใช้ รวมทั้งนำไปกรอกแบบฟอร์มต่างๆ
  • ควรเก็บรักษารหัสผ่านของตนเองเป็นความลับ และทำการเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะๆ รวมทั้งไม่ควรแอบดูหรือถอดรหัสผ่านของผู้อื่น
  • ควรวางแผนการใช้งานล่วงหน้าก่อนการเชื่อมต่อกับเครือข่ายเพื่อเป็นการประหยัดเวลา
  • เลือกถ่ายโอนเฉพาะข้อมูลและโปรแกรมต่างๆ เท่าที่จำเป็นต่อการใช้งานจริง
  • ก่อนเข้าใช้บริการต่างๆ ควรศึกษากฏ ระเบียบ ข้อกำหนด รวมทั้งธรรมเนียมปฏิบัติของแต่ละเครือข่ายที่ต้องการติอต่อ
ด้านการใช้ข้อมูลบนเครือข่าย ประกอบด้วย
  • เลือกใช้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ มีแหล่งที่มาของผู้เผยแพร่ และที่ติดต่อ
  • เมื่อนำข้อมูลจากเครือข่ายมาใช้ ควรอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น และไม่ควรแอบอ้างผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง
  • ไม่ควรนำข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต
ด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ใช้ ประกอบด้วย
  • ใช้ภาษาที่สุภาพในการติดต่อสื่อสาร และใช้คำให้ถูกความหมาย เขียนถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
  • ใช้ข้อความที่สั้น กะทัดรัดเข้าใจง่าย
  • ไม่ควรนำความลับ หรือเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นมาเป็นหัวข้อในการสนทนา รวมทั้งไม่ใส่ร้ายหรือทำให้บุคคลอื่นเสียหาย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่ดูถูก เหยียดหยามศาสนา วัฒนธรรมและความเชื่อของผู้อื่น
  • ในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นควรสอบถามความสมัครใจของผู้ที่ติดต่อด้วย ก่อนที่จะส่งแฟ้มข้อมูล หรือโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ไปยังผู้ที่เราติดต่อด้วย
  • ไม่ควรส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ที่ก่อความรำคาญ และความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เช่น จดหมายลูกโซ่
ด้านระยะเวลาในการใช้บริการ ประกอบด้วย
  • ควรคำนึงถึงระยะเวลาในการติดต่อกับเครือข่าย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้คนอื่นๆ บ้าง
  • ควรติดต่อกับเครือข่ายเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องการใช้งานจริงเท่านั้น
2. มารยาทของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในฐานะบุคคลที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ลงบนอินเทอร์เน็ต ประกอบด้วย
  • ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และข่าวสารต่างๆ ก่อนนำไปเผยแพร่บนเครือข่าย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง
  • ควรใช้ภาษาที่สุภาพ และเป็นทางการในการเผยแพร่สิ่งต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต และควรเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
  • ควรเผยแพร่ข้อมูล และข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ ไม่ควรนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ขัดต่อศีลธรรมและจริยธรรมอันดี รวมทั้งข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น
  • ควรบีบอัดภาพหรือข้อมูลขนาดใหญ่ก่อนนำไปเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต เพื่อประหยัดเวลาในการดึงข้อมูลของผู้ใช้
  • ควรระบุแหล่งที่มา วันเดือนปีที่ทำการเผยแพร่ข้อมูล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ของผู้เผยแพร่ รวมทั้งควรมีคำแนะนำ และคำอธิบายการใช้ข้อมูลที่ชัดเจน
  • ควรระบุข้อมูล ข่าวสารที่เผยแพร่ให้ชัดเจนว่าเป็นโฆษณา ข่าวลือ ความจริง หรือความคิดเห็น
  • ไม่ควรเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร รวมทั้งโปรแกรมของผู้อื่นก่อนได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และที่สำคัญคือไม่ควรแก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลของผู้อื่นที่เผยแพร่บนเครือข่าย
  • ไม่ควรเผยแพร่โปรแกรมที่นำความเสียหาย เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบเครือข่าย และควรตรวจสอบแฟ้มข้อมูล ข่าวสาร หรือโปรแกรมว่าปลอดไวรัส ก่อนเผยแพร่เข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต

IP Address และ DNS

หมายเลขประจำเครื่อง หรือที่อยู่ (Address) ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแต่ละคนจะมีที่อยู่ประจำเครื่อง ซึ่งกำหนดเรียกตัวเลขระบุตำแหน่ง เช่น 202.44.202.222 , 201.44.202.3 หรือ 203.146.7.200 เป็นต้น แต่ระบบหมายเลขมีข้อบกพร่องคือ จำยากและไม่ได้สื่อความหมายให้ผู้ใช้งานทั่วไปทราบ ดังนั้น จึงมีผู้คิดระบบตั้งชื่อให้ง่ายขึ้น เรียกว่า ระบบชื่อของเครื่อง (Domain Name System-DNS) DNS จะเปลี่ยนตัวเลขให้เป็นคำที่อ่านแล้วเข้าใจและจำได้ง่าย เช่น chula.ac.th , moc.go.th หรือ microsoft.com เป็นต้น

การกำหนด DNS จะ เรียงลำดับความสำคัญของชื่อจากขวาไปซ้าย โดยมีจุดคั่น
ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้

ชื่อทางขวาสุดจะบอกชื่อประเทศ เช่น
th = ประเทศไทย
uk = ประเทศอังกฤษ
ชื่อถัดมาจากชื่อประเทศจะบอกลักษณะของหน่วยงาน แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
ac หมายถึง Academic สถาบันการศึกษา
co หมายถึง Commercial ภาคองค์กร ภาคเอกชน
go หมายถึง Government หน่วยงานราชการ
or หมายถึง Organization องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
net หมายถึง Network องค์กรที่ให้บริการระบบเครือข่าย
นอกจากนี้ในส่วนทางขวาสุดอาจไม่แบ่งตามลักษณะของสองข้อที่ผ่านมา
แต่ใช้เพียงแค่คำย่อคำเดียว โดยไม่ต้องแยกออกเป็นชื่อประเทศ และลักษณะหน่วยงาน ซึ่งได้แก่
com หมายถึง Commercial ใช้ในธุรกิจ บริษัท ห้างร้าน
edu หมายถึง Education ใช้ในสถาบันการศึกษา
gov หมายถึง Governmant ใช้ในหน่วยงานราชการ
net หมายถึง Network ใช้ในหน่วยงานที่เป็นเครือข่าย
ทางซ้ายสุดจะเป็นชื่อหน่วยงานที่เป็นเจ้าของ Address นั้นๆ

โทษของอินเตอร์เน็ต


1.โรคติดอินเทอเน็ต(Webaholic)
อินเตอร์เน็ตก็เป็นสิ่งเสพติดหรือ?
การเล่นอินเตอร์เน็ต ทำให้คุณเสียงาน ผู้ใดเป็นผู้ที่ติดการพนัน การติดการพนันประเภทที่ถอนตัวไม่ขึ้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับ การติดอินเตอร์เน็ต เพราะทั้งสองอย่าง เกี่ยวข้องกับการล้มเหลว ในการควบคุมความต้องการของตนเอง โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารเคมีใดๆ (อย่างสุรา หรือยาเสพติด) ผู้ที่มีอาการอย่างน้อย 4 อย่าง เป็นเวลานานอย่างน้อย 1 ปีถือได้ว่า มีอาการติดอินเตอร์เน็ต
• รู้สึกหมกมุ่นกับอินเตอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อกับอินเตอร์เน็ต
• มีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้น
• ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตได้
• รู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องใช้อินเตอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้
• ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาหรือคิดว่าการใช้อินเตอร์เน็ตทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
• หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของตัวเอง
• การใช้อินเตอร์เน็ตทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ์ ยังใช้อินเตอร์เน็ตถึงแม้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
• มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวนกระวายเมื่อเลิกใช้อินเตอร์เน็ต
• ใช้เวลาในการใช้อินเตอร์เน็ตนานกว่าที่ตัวเองได้ตั้งใจไว้

มีผล กระทบต่อการเรียน อาชีพ สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของคนคนนั้น ถึงแม้ว่าการวิจัยที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า การติดเทคโนโลยีอย่างเช่น การติดเล่นเกมส์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับเพศชายแต่ผลลัพธ์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ติดอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง วัยกลางคนและไม่มีงานทำ


2.เรื่องอณาจารผิดศีลธรรม(Pornography/Indecent Content)
เรื่องของข้อมูลต่างๆที่มีเนื้อหาไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามกอนาจาร หรือรวมถึงภาพโป๊เปลือยต่างๆนั้นเป็น เรื่องที่มีมานานพอสมควรแล้วบนโลกอินเทอเน็ต แต่ไม่โจ่งแจ้งเนื่องจากสมัยก่อนเป็นยุคที่ WWW ยังไม่พัฒนา มากนักทำให้ไม่มีภาพออกมา แต่ในปัจจุบันภายเหล่านี้เป็นที่โจ่งแจ้งบนอินเทอเน็ตและสิ่งเหล่านี้สามารถเข้าสู่เด็ก และเยาวชนได้ง่ายโดยผู้ปกครองไม่สามารถที่จะให้ความดูแลได้เต็มที่ เพราะว่าอินเทอเน็ตนั้นเป็นโลกที่ไร้พรมแดนและเปิดกว้างทำให้สื่อเหล่านี้สามรถเผยแพร่ไปได้รวดเร็วจนเรา ไม่สามารถจับกุมหรือเอาผิดผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้

3.ไวรัส ม้าโทรจัน หนอนอินเตอร์เน็ต และระเบิดเวลา
ไวรัส : เป็นโปรแกรมอิสระ ซึ่งจะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะทำลายข้อมูล หรืออาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงโดยการแอบใช้สอยหน่วยความจำหรือพื้นที่ว่างบนดิสก์โดยพลการ
ม้าโทรจัน : ม้าโทรจันเป็นตำนานนักรบที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ แล้วแอบเข้าไปในเมืองจนกระทั่งยึดเมืองได้สำเร็จ โปรแกรมนี้ก็ทำงานคล้ายๆกัน คือโปรแกรมนี้จะทำหน้าที่ไม่พึงประสงค์ มันจะซ่อนตัวอยู่ในโปรแกรมที่ไม่ได้รับอนุญาต มันมักจะทำในสิ่งที่เราไม่ต้องการ และสิ่งที่มันทำนั้น ไม่มีความจำเป็นต่อเราด้วย
หนอนอินเตอร์เน็ต : ถูกสร้างขึ้นโดย Robert Morris, Jr. จนดังกระฉ่อนไปทั่วโลก มันคือโปรแกรมที่จะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จากระบบหนึ่ง ครอบครองทรัพยากรและทำให้ระบบช้าลง
ระเบิดเวลา : คือรหัสซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นรูปแบบเฉพาะของการโจมตีนั้นๆ ทำงานเมื่อสภาพการโจมตีนั้นๆมาถึง ยกตัวอย่างเช่น ระเบิดเวลาจะทำลายไฟล์ทั้งหมดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2542

ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต

อินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนชุมชนเมืองแห่งใหม่ของโลก เป็นชุมชนของคนทั่วมุมโลก จึงมีบริการต่างๆเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา
1.ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic mail=E-mail) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-mail
เป็นการส่งจดหมายผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตโดยผู้ส่งสสามารถส่งข้อความไปยังที่อยู่ของผู้รับ ในรูปแบบของอีเมล์ เมื่อผู้ส่งเขียนจดหมาย แล้วส่งไปยังผู้รับ ผู้รับจะได้รับจดหมายภายในเวลาไม่กี่วินาที แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกก็ตาม นอกจากนี้ยังสามารถส่งแฟ้มข้อมูลหรือไฟล์แนบไปกับอีเมล์ได้ด้วย
2.กรขอเข้าระบบจากระยะไกลหรือเทลเน็ต(Telnet)
เป็นบริการอินเน็ตรูปแบบหนึ่งโดยที่เราสามารถเข้าไปใช้งานคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ไกลๆได้ด้วยตนเอง เช่น ถ้าเราอยู่ที่โรงเรียนทำงานโดยใช้อินเตอร์เน็ตของโรงเรียนแล้วกลับไปที่บ้าน เรามีคอมพิวเตอร์ที่บ้านและต่ออินเตอร์เน็ตไว้เราสามารถเรียกข้อมูลจากที่โรงเรียนมาทำที่บ้านได้ เสมือนกับเราทำงานที่โรงเรียนนั่นเอง
3.การโอนถ่ายข้อมูล(File Transfer Protocol
หรือ FTP) เป็นบริการอีกรูปแบบหนึ่งของระบบอินเตอร์เน็ต เราสามารถค้นหาและเรียกข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเครื่องของเราได้ ทั้งข้อมูลประเภทตัวหนังสือ รูปภาพและเสียง
4.การสืบค้นข้อมูล(Gopher,Archie,World wide Web) หมายถึง การใช้เครื่อข่ายอินเตอร์เน็ตในการค้นหาข่าวสารที่มีอยู่มากมายแล้วช่วยจัดเรียงข้อมูลข่าวสารหัวข้ออย่างมีระบบ เป็นเมนู ทำให้เราหาข็อมูลได้ง่ายหรือสะดวกมากขึ้น
5.การแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น(Usenet)
เป็นการให้บริการแลกเปลี่ยนข่าวสารและแสดงความคิดเห็นที่ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตทั่วโลกสามารถพบปะกัน แสดงความคิดเห็นของตน โดยมีการจัดการผู้ใช้เป็นกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป(Newgroup)แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นหัวข้อต่างๆ เช่น เรื่องหนังสือ เรื่องการเลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ คอมพิวเตอร์และการเมือง เป็นต้น ปัจจุบันมี Usenet มากกว่า15,000 กลุ่ม นับเป็นเวทีขนาดใหญ่ให้ทุกคนจากทั่วมุมโลกแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง
6.การสื่อสารด้วยข้อความ(Chat,IRC-Internet Relay chat)
เป็นการพูดคุยกันระหว่างผู้ใช้อินเตอร์เน็ต โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ไดัรับความนิยมมากอีกวิธีหนึ่ง การสนทนากันผ่านอินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนเรานั่งอยู่ในห้องสนทนาเดียวกัน แต่ละคนก็พิมพ์ข้อความโต้ตอบกันไปมาได้ในเวลาเดียวกัน แม้จะอยู่คนละประเทศหรือคนละซีกโลกก็ตาม
7.การซื้อขายสินค้าและบริการ(E-Commerce = Eletronic Commerce)
เป็นการจับจ่ายซื้อ - สินค้าและบริการ เช่น ขายหนังสือ คอมพิวเตอร์ การท่องเที่ยว เป็นต้น ปัจจุบันมีบริษัทใช้อินเตอร์เน็ตในการทำธุรกิจและให้บริการลูกค้าตลอด24ชั่วโมง ในปี2540 การค้าขายบนอินเตอร์เน็ตมีมูลค่าสูงถึง1แสนล้านบาท และจะเพิ่มเป็น1ล้านล้านบาทในอีก5ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจแบบใหม่ที่น่าสนใจและเปิดทางให้ทุกคนเข้ามาทำธุรกิจได้โดยใช้ทุรไม่มากนัก
8.การให้ความบันเทิง(Entertain)
ในอินเตอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงในทุกรูปแบบต่างๆ เช่น เกมส์ เพลง รายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ เป็นต้น เราสามารถเลือกใช้บริการเพื่อความบันเทิงได้ตลอด24ชั่วโมงและจากแหล่งต่างๆทั่วทุกมุมโลก ทั้งประเทศไทย อเมริกา ยุโรปและออสเตรเลีย เป็นต้น

การทำความสะอาค (ข้อมูล) เครื่อง ด้วย Disk Cleanup

การทำความสะอาค (ข้อมูล) เครื่อง ด้วย Disk Cleanup

คุณสามารถทำความสะอาด เพื่อเพิ่มพื้นที่การใช้งานในฮาร์ดดิสก์ได้ ทำให้ฮาร์ดดิสก์มีพื้นที่ว่างมากขึ้นจะส่งผลทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณมีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม โดยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Disk Cleanup Tools ซึ่งยูทิลิตี้ตัวนี้จะค้นหาว่ามีไฟล์ใดที่คุณสามารถลบทิ้งได้อย่างปลอดภัยบ้าง จากนั้นก็จะช่วยให้คุณตัดสินใจว่าคุณจะลบไฟล์ที่ระบุเอาไว้บางส่วนหรือทั้งหมดหรือไม่


Disk Cleanup มีความสามารถดังต่อไปนี้
- กำจัดไฟล์ที่เกิดจากการใช้อินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า temporary
- กำจัดโปรแกรมที่ถูกดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต เช่นพวก ActiveX Control ต่าง ๆ
- กำจัดไฟล์ที่ถูกลบแล้วยังอยู่ใน Recycle Bin
- กำจัด Windows Temporary files
- กำจัดตัวเลือกต่าง ๆ ที่วินโดวส์ไม่ได้ใช้งานออก
- กำจัดโปรแกรมที่ถูกติดตั้งไว้ แต่ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน ๆ Internet files

การใช้ Disk Cleanup เพื่อ
• ลบไฟล์ชั่วคราวของอินเทอร์เน็ต
• ลบไฟล์โปรแกรมที่ดาวน์โหลดมา (อาทิเช่น Microsoft ActiveX control และ Java applets เป็นต้น)
• ลบข้อมูลใน Recycle Bin
• ลบไฟล์ชั่วคราวของ Windows
• ลบคอมโพเน้นต์เสริมของ Windows ที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้
• ลบโปรแกรมซึ่งติดตั้งเอาไว้แต่คุณไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไป


คำแนะนำ: โดยปกติแล้วไฟล์ชั่วคราวของอินเทอร์เน็ตมักจะใช้พื้นที่มากที่สุด เนื่องจากบราวเซอร์จะทำแคชเพจทุกเพจที่คุณเข้าไปเยี่ยมชม เพื่อช่วยให้การเรียกใช้เว็บเพจเดิมในภายหลังเร็วขึ้น

วิธีการใช้ Disk Clean Up
1. คลิก Start ชี้เมล์ไปที่ All Programs ตามด้วย Accessories จากนั้นไปที่ System Tools แล้วคลิกที่ Disk Cleanup

ถ้าหากมีไดร์ฟหลายไดร์ฟ ระบบจะขอให้คุณระบุว่าต้องการทำความสะอาดไดร์ฟไหน



Disk Cleanup ทำการคำนวณพื้นที่ที่คุณสามารถทำความสะอาดได้


2. ในกรอบของ Disk Cleanup ให้เลือกไปยังรายการ Files to delete เลือกไฟล์ที่คุณต้องการลบ
3. ยกเลิกการกาเครื่องหมายหน้าชื่อไฟล์ที่คุณไม่ต้องการลบ จากนั้นคลิก OK
4. เมื่อโปรแกรมถามยืนยันว่าคุณต้องการลบไฟล์ที่กำหนดเอาไว้หรือไม่ คลิก Yes


หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาที ขั้นตอนจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ แล้วกรอบของ Disk Cleanup จะปิดไป


ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือคอมพิวเตอร์ของคุณจะสะอาดมากขึ้นและมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

การจัดเรียงข้อมูลด้วย Disk Defragmentor

ข้อมูลที่กระจายกันอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในฮาร์ดดิสก์จะทำให้พีซีของคุณมีประสิทธิภาพที่ลดลง ถ้าหากข้อมูลของไฟล์ถูกจัดเก็บเอาไว้ในที่ต่าง ๆ แล้วคุณต้องการเปิดไฟล์ คอมพิวเตอร์ต้องค้นหาตามจุดต่าง ๆ เพื่อนำเอาชิ้นส่วนของไฟล์มารวมกัน ซึ่งทำให้เวลาในการตอบสนองนานขึ้นกว่าเดิมมาก จึงได้มีการจัดเรียงข้อมูลในฮาร์ดิสก์เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณทำงานได้เร็วขึ้น ในฮาร์ดดิสก์ของเราประกอบด้วยไฟล์แยกกันอยู่เป็นส่วน ๆ ทำให้ต้องใช้เวลาในการค้นหามากขึ้น วิธีหนึ่งที่ช่วยลดระยะเวลาในการค้นหา ก็คือการทำ Disk Defragmenter ซึ่งจะช่วยรวบรวมไฟล์ และโฟลเดอร์ ที่แยกส่วนออกจากกัน มารวมกันอยู่บนพื้นที่ดิสก์เดียวกัน ทำให้ไฟล์ถูกจัดเก็บอย่างลงตัวแบบ end-to-endไม่ถูกแยกออกเป็นส่วน และช่วยให้การเข้าถึงไฟล์เหล่านี้เร็วขึ้น
ปกติการเรียกใช้ Disk Defragmenter อาจจะทำเป็นช่วงเวลา เช่น เดือนละครั้ง หรือสองสัปดาห์ครั้ง แต่ยังมีข้อพิจารณาอีก 3 ข้อ ว่าถ้าสภาพแวดล้อมของเครื่องคอมพิวเตอร์คุณเป็นดังต่อไปนี้ ให้คุณทำ Disk Defragmenter ด้วย คือ
- มีการเพิ่มไฟล์เข้าไปในฮาร์ดดิสก์เป็นจำนวนมาก
- พื้นที่ของดิสก์คุณ เหลือไม่ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ทั้งหมด
- คุณมีการติดตั้งโปรแกรมใหม่ หรือติดตั้งวินโดวส์เวอร์ชันใหม่

เมื่อใดที่ควรสั่งงาน Disk Defragmenter
นอกเหนือจากการสั่งงาน Disk Defragmenter ตามช่วงเวลาที่กำหนดแล้ว (น่าจะทำทุกเดือน) เหตุการณ์บางอย่างอาจบังคับให้คุณสั่งงานยูทิลิตี้ตัวนี้นอกช่วงเวลาที่กำหนดเอาไว้ในแต่ละเดือนได้เช่นกัน คุณควรสั่งงาน Disk Defragmenter ภายใต้สภาพเหตุการณ์ดังต่อไปนี้

• เมื่อคุณใส่ไฟล์จำนวนมากลงไปในฮาร์ดดิสก์
• คุณทำให้พีซีมีส่วนที่ว่างเกิดขึ้นเกือบร้อยละ 15
• คุณติดตั้งโปรแกรมใหม่หรือ Windows เวอร์ชันใหม่


วิธีการใช้ Disk Defragmenter
1. คลิก Start ชี้เมาส์ไปที่ All Programs ตามด้วย Accessories แล้วชี้ไปยัง System Tools จากนั้นคลิกที่ Disk Defragmenter คลิกที่ Analyze เพื่อเริ่มต้นการจัดระเบียบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์


2. ในกรอบถามตอบของ Disk Defragmenter คลิกที่ไดร์ฟที่คุณต้องการจัดระเบียบข้อมูล จากนั้นคลิกที่ปุ่ม Analyze


หลังจากทำการวิเคราะห์ฮาร์ดดิสก์เสร็จแล้ว จะมีกรอบข้อความปรากฏขึ้นมาเพื่อบอกให้คุณทราบว่า คุณควรจัดระเบียบข้อมูลในไดร์ฟที่ทำการวิเคราะห์หรือไม่

คำแนะนำ: คุณควรทำการวิเคราะห์โวลูมก่อนที่จะทำการจัดระเบียบข้อมูล เพื่อที่คุณจะได้ทราบว่าขั้นตอนการจัดระเบียบข้อมูลจะต้องใช้เวลาคร่าวๆมากน้อยเพียงใด


3. ถ้าหากต้องการจัดระเบียบข้อมูลในไดร์ฟที่เลือกเอาไว้ตั้งแต่หนึ่งไดร์ฟขึ้นไป ให้คลิกที่ปุ่ม Defragment หลังจากขั้นตอนการจัดระเบียบข้อมูลเสร็จแล้ว Disk Defragmenter จะแสดงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นให้ทราบ

4. ถ้าหากต้องการทราบข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับดิสก์ไดร์ฟหรือพาร์ทิชันที่ถูกจัดระเบียบข้อมูลให้คลิกที่ View Report


5. ถ้าต้องการปิดกรอบ View Report คลิก Close
6. ถ้าต้องการปิดยูทิลิตี้ Disk Defragmenter คลิกที่ปุ่ม Close บริเวณไตเติลบาร์ของวินโดวส์ช่องนี้
เนื่องจากในขณะที่คุณใช้ฮาร์ดไดร์ฟอยู่ มันอาจจะเกิดเซกเตอร์เสียขึ้นมาได้ เซกเตอร์เสียจะทำให้ฮาร์ดไดร์ฟมีประสิทธิภาพลดลง และในบางครั้งทำให้การบันทึกข้อมูล (อาทิเช่นการเซฟไฟล์) ยุ่งยากหรือไม่อาจทำได้ ยูทิลิตี้ Error Checking จะทำการค้นหาเซกเตอร์เสียที่อยู่ในฮาร์ดไดร์ฟ รวมทั้งค้นหาว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นกับระบบไฟล์เพื่อดูว่าไฟล์หรือโฟลเดอร์บางจุดอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่


http://www.it.coj.go.th/defragment.html

การสำรองข้อมูล

หลายคนอาจจะเคยเจอปัญหาที่ข้อมูลที่สูญหาย ลบไฟล์โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งถ้าเราได้บันทึกเก็บไว้หลายที่ก็ดีไป สามารถนำไฟล์มาใช้ได้ แต่หากไม่ได้บันทึกไว้ที่ไหนเลยอาจต้องสร้างใหม่หรือพิมพ์ใหม่ซึ่งเสียเวลาพอสมควร แต่สำหรับระบบขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลจำนวนมาก หรือเป็นข้อมูลของลูกค้าที่เราให้บริการซึ่งเราไม่ได้เป็นผู้สร้างหรือแก้ไขเอง หากเกิดการสูญหายของข้อมูลขึ้น ผลกระทบที่เกิดย่อมก่อให้เกิดความเสียหายมาก ดังนั้นเพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการสูญหายของข้อมูล คือ การสำรองข้อมูล (Backup)
โดยการสำรองข้อมูลเพื่อให้ข้อมูลมีความครบถ้วนมากที่สุดนั้นมักจะบันทึกเป็น 3 ระดับคือ
Full System Backup
Full Data Backup
Incremental Backup
สำหรับการสำรองข้อมูลสามารถแบ่งออกเป็น 2 วิธีหลัก ๆ ดังนี้

1. Offline Backup : เป็นวิธีเบื้องต้นที่หลาย ๆ ท่านที่เคยทำการสำรองข้อมูลคงคุ้นเคย นั่นคือการหยุดให้บริการต่าง ๆ บนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด หรือการ Stop Service ต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั้งหมดก่อนทำการสำรองข้อมูล (Backup) ซึ่งวิธีนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับองค์กรที่จำเป็นต้องทำการให้บริการผู้ใช้งานตลอด 24 ชม. ทั้ง 7 วัน

2. Online Backup : ความไม่สะดวกเกิดขึ้นเมื่อจำเป็นต้องทำการสำรองข้อมูล แต่ไม่สามารถหยุดการให้บริการได้ จึงได้มีการพัฒนาวิธีการทำการสำรองข้อมูลขึ้นมาอีกวีธีหนึ่งคือ สามารถทำการสำรองข้อมูลไปพร้อม ๆ กับการให้บริการต่าง ๆ แก่ผู้ใช้งานได้ ซึ่งเรียกวิธีนี้ว่า Online Backup หลายผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดมีการทำงานลักษณะนี้
ส่วนกระบวนการในการสำรองข้อมูล สามารถแบ่งออกตามลักษณะของทิศทางการไหลของข้อมูลได้ 2 ประเภท

1. LAN Backup : เป็นกระบวนการแบ็คอัพที่มีทิศทางการไหลของข้อมูลที่ต้องการแบ็คอัพไปตามเน็ตเวิร์ก เครื่องที่เป็น Backup Server คือเครื่องที่มี Tape Drive ต่ออยู่ ข้อมูลจาก Server อื่น ๆ จะถูกดึงออกมาผ่านทางเน็ตเวิร์กส่งไปยัง Backup Server

2. LAN Free Backup : กระบวนการแบ็คอัพสำหรับองค์กรที่ใช้งานตู้ Storage หรือที่เรียกกันว่า SAN ( Storage Area Network ) ที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์ทำการเชื่อมต่อเพื่อเข้ามาใช้เนื้อที่ใน SAN ซึ่งข้อมูลสำคัญที่จำเป็นต้องการทำการ Backup
เมื่อกล่าววถึงการสำรองข้อมูล สำหรับ Windows XP ระบบปฏิบัติการยอดนิยมก็มีคุณสมบัติสำหรับการ Backup ที่เตรียมไว้ให้แล้ว หากจะถามว่าการแบ็กอัพข้อมูลและไฟล์ระบบมีประโยชน์อย่างไรบ้าง? อย่างแรกเลยก็คือ คุณสามารถเรียกข้อมูลกลับคืนมาได้ทุกเวลาที่ต้องการ และอย่างที่สองนั้นหากวินโดวส์เกิดล่มขึ้นมาจริง ๆ คุณก็มีวิธีรับมือกับมันด้วยตัวเอง
ที่มา http://catadmin.cattelecom.com/km/blog/kesmanasm/2007/11/12/backup/
http://www.businessshot.com/?mo=3&art=156746
http://www.sanambin.com

พระราชบัญญัติและกฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์


พระราชบัญญัติและกฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในการสื่อสารข้อมูลและปฏิบัติงานต่าง ๆ มากมาย การใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์จึงต้องมีกฎหมายมาควบคุมดูแลเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ประกาศกระทรวงฯ เรื่อง หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ.2550
ประกาศกระทรวงฯ เรื่อง หลักเกณฑ์คุณสมบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ประกาศกระทรวงฯ เรื่อง กำหนดบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ประกาศกระทรวงฯ เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
คำอธิบายพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเลกทรอนิกส์ พ.ศ. 2544
พระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ พ.ศ. 2549
พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544
พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
การพัฒนาระบบจดมายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการสื่อสารในภาครัฐ
ระเบียบ ก.บ.ศ. ว่าด้วยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพาปี 2549

Monday, January 30, 2012

อินเทอร์เน็ต(Internet) คืออะไร


    อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายเล็ก ๆ มากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งโลก หรือทั้งจักรวาล
    อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามาในเครือข่าย

    อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย
    อินเทอร์เน็ต(Internet)คือ เครือข่ายของเครือข่าย (A network of network)

    สำหรับคำว่า internet หากแยกศัพท์จะได้ออกมา 2 คำ คือ คำว่า Inter และคำว่า net

      Inter หมายถึงระหว่าง หรือท่ามกลาง


    Net มาจากคำว่า Network หรือเครือข่าย

    เมื่อนำความหมายของทั้ง 2 คำมารวมกัน จึงแปลได้ว่า การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย

    อินเทอร์เน็ต เป็นคำที่รู้จักหรือได้ยินกันบ่อยครั้งมาก เว็บเพจต่อไปนี้เป็นความรู้เบื้องต้นที่เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต และการใช้งาน เนื้อหาประกอบด้วย 9 ส่วน ได้แก่

    • อินเทอร์เน็ตคืออะไร?
    • ประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต
    • ประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
    • เราจะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร?
    • กลไกการทำงานของ SLIP/PPP
      • อินเตอร์เน็ตทำงานอย่างไร?
      • ใครเป็นเจ้าของ อินเทอร์เน็ต
      • บริการต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต
      • โทษของอินเทอร์เน็ต
    Powered By Blogger

    About Me